.
ความรู้เพิ่มเติมจากสมอง ประวัติ Gnu. ประวัติ Linux ประวัติของคอมพิวเตอร์ จัดทำโดย นาย วสันต์ รัตนปาน
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
อุปกรณ์รองรับ3.9g
"ฮัทช์" รุกตลาดอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สาย ตอบรับกระแส 3G ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตไร้สายรุ่นใหม่ Hutch EC 150 ที่มาพร้อมคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 3G EV-DO โลดแล่นบนเน็ตได้สบายใจทั้งประสิทธิภาพความเร็ว ความเสถียร
กรุงเทพฯ –11 มีนาคม 2553: บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด ผู้ให้บริการด้านการตลาดระบบสื่อสารไร้สายดิจิตอลซีดีเอ็มเอ ภายใต้แบรนด์ “ฮัทช์” ในประเทศไทย รุกตลาดอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สาย ตอบรับกระแส 3G ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตไร้สายรุ่นใหม่ Hutch EC 150 ที่มาพร้อมคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 3G EV-DO โลดแล่นบนเน็ตได้สบายใจทั้งประสิทธิภาพความเร็ว ความเสถียร พื้นที่ให้บริการ และราคาที่เริ่มต้นเพียงชั่วโมงละ 1.30 บาท
นายธีรพันธ์ ศิริสุนทรไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด กล่าวว่า “Hutch EC 150 ถือเป็นอุปกรณ์รองรับเทคโนโลยี 3G EV-DO ที่ฮัทช์นำเข้ามาทำตลาดเพื่อตอบรับกับกระแส 3G ซึ่งกำลังเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงอย่างมากในปีนี้ โดย Hutch EC 150 โดดเด่นทั้งในเรื่องประสิทธิภาพความเร็ว การใช้งานง่าย พื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมมากกว่า ที่สำคัญ ความเสถียรของระบบ ที่จะทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจกับการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้อย่างราบรื่น เมื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 3G EV-DO นอกจากนี้ฮัทช์ยังผนวกแพคเกจค่าบริการที่ยืดหยุ่นตามความต้องการที่หลากหลายของลูกค้ามาพร้อมกับอุปกรณ์ตัวใหม่นี้อีกด้วย ฮัทช์เชื่อมั่นว่า Hutch EC 150 จะเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ตอกย้ำบทบาทของฮัทช์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงของประเทศอีกด้วย
Hutch EC 150 เป็นอุปกรณ์ต่อเชื่ออินเทอร์เน็ตไร้สายที่สามารถรองรับเทคโนโลยีเครือข่ายระบบซีดีเอ็มเอได้ทั้ง 3 ระดับ ประกอบด้วย เครือข่ายเทคโนโลยี CDMA 2000 1X โดยให้ความเร็วที่ 153 kbps บนเครือข่าย CDMA 2000 1x EV-DO Rev. 0 ซึ่งให้ความเร็วสูงสุด 2.4 Mbps นอกจากนี้ Hutch EC 150 ยังสามารถรองรับการใช้งานบนเครือข่าย CDMA 2000 1x Rev. A โดยให้ความเร็วสูงสุดถึง 3.1 Mbps Hutch EC 150 รองรับระบบปฏิบัติการ Windows XP/Vista/7, MAC OS และ Linux อีกด้วย Hutch EC 150 ใช้ได้ทั้งกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (desktop) ยังใช้เป็น Micro SD Card ที่รองรับความจุได้ถึง 4 GB อีกด้วย
ในการคิดค่าใช้บริการ ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ คิดค่าบริการ 3G แยกออกจากเครือข่าย 2G โดยคิดตามจำนวนการใช้งานเป็นเมกะไบต์ (MegaByte) สำหรับ ฮัทช์ เสนอรูปแบบการคิดค่าใช้บริการ ทั้งเครือข่าย 2G และ 3G รวมอยู่ในแพ็คเกจเดียวกัน โดยคิดตามชั่วโมงการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวก สามารถเข้าใจและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
Hutch EC 150 มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มทั้งแบบรายชั่วโมงและแบบเหมาจ่าย ให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้ตามความต้องการ เริ่มต้นค่าบริการเพียงชั่วโมงละ 1.30 บาท สำหรับโปรโมชั่นแพ็กเกจรายเดือน 790 บาท ใช้งานได้ 600 ชั่วโมง ค่าอุปกรณ์ 1,790 บาท หรือเลือกแพ็กเกจรายเดือน 490 บาท ใช้งานได้ 300 ชั่วโมง ค่าอุปกรณ์ 2,190 บาท หรือเลือกแพ็กเกจ 999 บาทต่อเดือน ใช้งานได้ไม่จำกัด ค่าอุปกรณ์เพียง 999 บาท
ทั้งนี้เครือข่าย CDMA 2000 1x EV-DO เป็นเครือข่ายที่รองรอบการให้บริการ 3G EV-DO อยู่แล้ว โดยที่ผ่านมา ฮัทช์ได้ให้บริการ EV-DO กับลูกค้าองค์กรธุรกิจที่อยู่ในเขตพื้นที่ให้ บริการ EV-DO ซึ่งขณะนี้ฮัทช์ได้ติดตั้งเทคโนโลยีนี้ไปแล้วกว่า 80 ไซต์ ในบริเวณที่เป็นย่านธุริกจสำคัญ ครอบคลุมตั้งแต่กรุงเทพฯ และเมืองสำคัญๆ อาทิ ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และหัวหิน
กรุงเทพฯ –11 มีนาคม 2553: บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด ผู้ให้บริการด้านการตลาดระบบสื่อสารไร้สายดิจิตอลซีดีเอ็มเอ ภายใต้แบรนด์ “ฮัทช์” ในประเทศไทย รุกตลาดอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สาย ตอบรับกระแส 3G ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตไร้สายรุ่นใหม่ Hutch EC 150 ที่มาพร้อมคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 3G EV-DO โลดแล่นบนเน็ตได้สบายใจทั้งประสิทธิภาพความเร็ว ความเสถียร พื้นที่ให้บริการ และราคาที่เริ่มต้นเพียงชั่วโมงละ 1.30 บาท
นายธีรพันธ์ ศิริสุนทรไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด กล่าวว่า “Hutch EC 150 ถือเป็นอุปกรณ์รองรับเทคโนโลยี 3G EV-DO ที่ฮัทช์นำเข้ามาทำตลาดเพื่อตอบรับกับกระแส 3G ซึ่งกำลังเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงอย่างมากในปีนี้ โดย Hutch EC 150 โดดเด่นทั้งในเรื่องประสิทธิภาพความเร็ว การใช้งานง่าย พื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมมากกว่า ที่สำคัญ ความเสถียรของระบบ ที่จะทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจกับการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้อย่างราบรื่น เมื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 3G EV-DO นอกจากนี้ฮัทช์ยังผนวกแพคเกจค่าบริการที่ยืดหยุ่นตามความต้องการที่หลากหลายของลูกค้ามาพร้อมกับอุปกรณ์ตัวใหม่นี้อีกด้วย ฮัทช์เชื่อมั่นว่า Hutch EC 150 จะเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ตอกย้ำบทบาทของฮัทช์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงของประเทศอีกด้วย
Hutch EC 150 เป็นอุปกรณ์ต่อเชื่ออินเทอร์เน็ตไร้สายที่สามารถรองรับเทคโนโลยีเครือข่ายระบบซีดีเอ็มเอได้ทั้ง 3 ระดับ ประกอบด้วย เครือข่ายเทคโนโลยี CDMA 2000 1X โดยให้ความเร็วที่ 153 kbps บนเครือข่าย CDMA 2000 1x EV-DO Rev. 0 ซึ่งให้ความเร็วสูงสุด 2.4 Mbps นอกจากนี้ Hutch EC 150 ยังสามารถรองรับการใช้งานบนเครือข่าย CDMA 2000 1x Rev. A โดยให้ความเร็วสูงสุดถึง 3.1 Mbps Hutch EC 150 รองรับระบบปฏิบัติการ Windows XP/Vista/7, MAC OS และ Linux อีกด้วย Hutch EC 150 ใช้ได้ทั้งกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (desktop) ยังใช้เป็น Micro SD Card ที่รองรับความจุได้ถึง 4 GB อีกด้วย
ในการคิดค่าใช้บริการ ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ คิดค่าบริการ 3G แยกออกจากเครือข่าย 2G โดยคิดตามจำนวนการใช้งานเป็นเมกะไบต์ (MegaByte) สำหรับ ฮัทช์ เสนอรูปแบบการคิดค่าใช้บริการ ทั้งเครือข่าย 2G และ 3G รวมอยู่ในแพ็คเกจเดียวกัน โดยคิดตามชั่วโมงการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวก สามารถเข้าใจและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
Hutch EC 150 มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มทั้งแบบรายชั่วโมงและแบบเหมาจ่าย ให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้ตามความต้องการ เริ่มต้นค่าบริการเพียงชั่วโมงละ 1.30 บาท สำหรับโปรโมชั่นแพ็กเกจรายเดือน 790 บาท ใช้งานได้ 600 ชั่วโมง ค่าอุปกรณ์ 1,790 บาท หรือเลือกแพ็กเกจรายเดือน 490 บาท ใช้งานได้ 300 ชั่วโมง ค่าอุปกรณ์ 2,190 บาท หรือเลือกแพ็กเกจ 999 บาทต่อเดือน ใช้งานได้ไม่จำกัด ค่าอุปกรณ์เพียง 999 บาท
ทั้งนี้เครือข่าย CDMA 2000 1x EV-DO เป็นเครือข่ายที่รองรอบการให้บริการ 3G EV-DO อยู่แล้ว โดยที่ผ่านมา ฮัทช์ได้ให้บริการ EV-DO กับลูกค้าองค์กรธุรกิจที่อยู่ในเขตพื้นที่ให้ บริการ EV-DO ซึ่งขณะนี้ฮัทช์ได้ติดตั้งเทคโนโลยีนี้ไปแล้วกว่า 80 ไซต์ ในบริเวณที่เป็นย่านธุริกจสำคัญ ครอบคลุมตั้งแต่กรุงเทพฯ และเมืองสำคัญๆ อาทิ ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และหัวหิน
เทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับคนรักรถ
นิสสัน โดโคโม่ และชาร์ป ประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ทั้งสามบริษัทได้ร่วมมือกันพัฒนามือถือเครื่องแรกของโลกที่มีฟังก์ชันรีโมท(แทนกุญแจ)สำหรับรถยนต์ โดยมือถือรุ่นดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบกุญแจอัจฉริยะ (Intelligent Key system) ที่ได้มีการติดตั้งในรถยนต์นิสสันกว่า 950,000 คันตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว
“เมื่อโทรศัพท์มือถือเพิ่มบทบาทของความจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ การควบรวมของเทคโนโลยี ตลอดจนศักยภาพในการขยายฟังก์ชันการทำงานร่วมกันของผลิตภัณฑ์จากทั้งสามบริษัทก็จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นจากมือถือรุ่นใหม่นี้” ข้อความที่ปรากฎในเอกสารแถลงการณ์สำหรับความร่วมมือของนิสสัน โดโคโม่ และชาร์ป สำหรับการสาธิตมือถือรุ่นนี้จะมีขึ้นในวันที่ 30 กันยายนที่งานแสดงเทคโนโลยี CEATEC Japan 2008 และจะวางตลาดมือถือรุ่นดังกล่าวในช่วงต้นปี 2009
สำหรับระบบกุญแจอัจฉริยะของนิสสันจะสามารถรับรู้ (senses) ได้ทันทีที่กุญแจเข้ามาอยู่ใกล้ๆ รถยนต์ โดยจะทำการปลดล็อคประตูรถให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อเจ้าของเข้าไปนั่งในรถพร้อมกุญแจ รถยนต์ก็จะสตาร์ทให้เองโดยอัตโนมัติอีกเช่นกัน ซึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ระบบกุญแจดังกล่าวจะถูกฝังเข้าไปในมือถือ ทำให้เจ้าของรถยนต์ไม่จำเป็นต้องพกกุญแจรถอีกต่อไป
“เมื่อโทรศัพท์มือถือเพิ่มบทบาทของความจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ การควบรวมของเทคโนโลยี ตลอดจนศักยภาพในการขยายฟังก์ชันการทำงานร่วมกันของผลิตภัณฑ์จากทั้งสามบริษัทก็จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นจากมือถือรุ่นใหม่นี้” ข้อความที่ปรากฎในเอกสารแถลงการณ์สำหรับความร่วมมือของนิสสัน โดโคโม่ และชาร์ป สำหรับการสาธิตมือถือรุ่นนี้จะมีขึ้นในวันที่ 30 กันยายนที่งานแสดงเทคโนโลยี CEATEC Japan 2008 และจะวางตลาดมือถือรุ่นดังกล่าวในช่วงต้นปี 2009
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
ความรู้เพิ่มเติมจากสมอง
หลายคนคงเคยเห็นจักรยานยนต์หรือวิธีการเดินทาง แบบไอเดียวสุดกระฉูดจากแนวคิดสำหรับโลกอนาคตกันมาบ้างแล้ว แต่ใครจะคิดว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังมีอีกหนึ่งยานยนต์สุดประหลาด และมีการคาดการณ์กันว่า มันอาจะเป็นวิธีเดินทางใหม่สำหรับเหล่าคนเมืองจอมขี้เกียจกันด้วย
Ryno เป็นวิธีการเดินทางแบบใหม่ที่แลดูคล้ายมอเตอร์ไซค์ที่มีล้อเดียว แต่คล่องตัวมากกว่เจ้าสองล้อเดินทางอย่าง segway “The Ryno” เป็นไอเดียที่มาจากลอเรน เด็กหญิงอายุ 13 ขวบ ที่เธอนั้นต้องการจะขี่จักรยานล้อเดียว หลังจากเห็นผ่านทางวีดีโอเกม
The Ryno นั้นมันถูกออกแบบมาให้เป้นจักรยานไฟฟ้า ที่สามารถเดินทางได้เร็วมากถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถทำได้เร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยตัวรถมีน้ำหนักเพียง 75 กิโลกรัมเท่านั้น และสามารถขึ้นเนินได้ชันมากถึง 30 องศา ก่อนที่จะงอแง
หลังจากมีการคิดค้นและปรับปรุงมานาน ในอีกไม่ช้า เจ้า Ryno จะมาโลดแล่นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมันกำลังได้รับความสนใจอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งทางผู้ผลิตได้ตั้งราคาไว้ที่ 2,250 ปอนด์ หรือประมาณ 112,500 บาท (ราคาไม่รวมภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ภาพจาก trendhunter.com
Sanook Auto Comment
ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกแวกแนว และไม่น่าเชื่อว่านี่ จะเป็นความคิดจาดเก็เพียงอายุ 13 ขวบ เท่านั้น แต่บางครั้งเราต้องยอมรับครับว่าเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่เราหลายคนสูญเสียความฝันและจินตนาการ ทำให้บางทีเรามองข้างเรื่องเล็กๆไป
Ryno เป็นวิธีการเดินทางแบบใหม่ที่แลดูคล้ายมอเตอร์ไซค์ที่มีล้อเดียว แต่คล่องตัวมากกว่เจ้าสองล้อเดินทางอย่าง segway “The Ryno” เป็นไอเดียที่มาจากลอเรน เด็กหญิงอายุ 13 ขวบ ที่เธอนั้นต้องการจะขี่จักรยานล้อเดียว หลังจากเห็นผ่านทางวีดีโอเกม
The Ryno นั้นมันถูกออกแบบมาให้เป้นจักรยานไฟฟ้า ที่สามารถเดินทางได้เร็วมากถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถทำได้เร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยตัวรถมีน้ำหนักเพียง 75 กิโลกรัมเท่านั้น และสามารถขึ้นเนินได้ชันมากถึง 30 องศา ก่อนที่จะงอแง
หลังจากมีการคิดค้นและปรับปรุงมานาน ในอีกไม่ช้า เจ้า Ryno จะมาโลดแล่นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมันกำลังได้รับความสนใจอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งทางผู้ผลิตได้ตั้งราคาไว้ที่ 2,250 ปอนด์ หรือประมาณ 112,500 บาท (ราคาไม่รวมภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ภาพจาก trendhunter.com
Sanook Auto Comment
ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกแวกแนว และไม่น่าเชื่อว่านี่ จะเป็นความคิดจาดเก็เพียงอายุ 13 ขวบ เท่านั้น แต่บางครั้งเราต้องยอมรับครับว่าเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่เราหลายคนสูญเสียความฝันและจินตนาการ ทำให้บางทีเรามองข้างเรื่องเล็กๆไป
ประวัติ Gnu.
GNU Privacy Guard หรือที่เรียกว่า GnuPG หรือ GPG เป็นโปรแกรมในการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อป้องกันการบุกรุกทางข้อมูลและเพื่อทำให้ข้อมูลนั้นมีความปลอดภัยมากขึ้น
GnuPG เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานแทนทื่โปรแกรม PGP หรือ Pretty Good Privacy เนื่องจาก PGP นั้นมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาอนุญาตและสิทธิบัตรซอฟต์แวร์ โดย GnuPG ใช้มาตรฐาน RFC 4880 ของ IETF ซึ่งเป็นมาตรฐานของ OpenPGP โดยรุ่นล่าสุดของ PGP นั้นสามารถทำงานร่วมกับ GnuPG และระบบอื่น ๆที่เป็น OpenPGP ได้ ซึ่งในตัวเวอร์ชันเก่าของ PGP ไม่สามารถสนับสนุนการทำงานของโปรแกรมได้ทั้งหมด
GPG เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดย Free Software Foundation โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศเยอรมัน ภายใต้เงื่อนไขของเวอร์ชันที่ 3 ของ GNU General Public License ดังนั้นจึงทำให้ GPG เป็นซอฟต์แวร์เสรีที่สามารถแจกจ่ายแก้ไขดัดแปลงได้โดยเสรี
ประวัติ
GnuPG นั้นพัฒนาขึ้นโดย Werner Koch โดยเวอร์ชัน 1.0.0 นั้นถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ 1999 (พ.ศ. 2542) และได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศเยอรมัน ในการทำคู่มือการใช้งาน ทำให้สามารถใช้ในไมโครซอฟท์วินโดวส์ในปี ค.ศ. 2000
เนื่องจาก GnuPG นั้นเป็นระบบที่ทำตามมาตรฐานของ OpenPGP ดังนั้นประวัติของ OpenPGP นั้นจึงสำคัญต่อ GnuPG โดย OpenPGP ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันกับ PGP ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการเข้ารหัสอีเมลล์ที่พัฒนาขึ้นโดย Phil Zimmerman
GnuPG เวอร์ชัน 2.0 ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ซึ่งพัฒนามาจากเวอร์ชัน 1.x โดยเวอร์ชันสุดท้ายของรุ่น 1.x คือ 1.4.8 นั้นยังคงมีการพัฒนาต่อควบคู่กันกับ GnuPG 2.0 เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในสถาปัตยกรรมของโปรแกรม ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานในบางประเภท
ผู้สร้าง
ผู้สร้าง Gnu.
ลิ้งที่มา
http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87+Gnu&aq=f&aqi=&aql=&oq=&gs_rfai=
GnuPG เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานแทนทื่โปรแกรม PGP หรือ Pretty Good Privacy เนื่องจาก PGP นั้นมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาอนุญาตและสิทธิบัตรซอฟต์แวร์ โดย GnuPG ใช้มาตรฐาน RFC 4880 ของ IETF ซึ่งเป็นมาตรฐานของ OpenPGP โดยรุ่นล่าสุดของ PGP นั้นสามารถทำงานร่วมกับ GnuPG และระบบอื่น ๆที่เป็น OpenPGP ได้ ซึ่งในตัวเวอร์ชันเก่าของ PGP ไม่สามารถสนับสนุนการทำงานของโปรแกรมได้ทั้งหมด
GPG เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดย Free Software Foundation โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศเยอรมัน ภายใต้เงื่อนไขของเวอร์ชันที่ 3 ของ GNU General Public License ดังนั้นจึงทำให้ GPG เป็นซอฟต์แวร์เสรีที่สามารถแจกจ่ายแก้ไขดัดแปลงได้โดยเสรี
ประวัติ
GnuPG นั้นพัฒนาขึ้นโดย Werner Koch โดยเวอร์ชัน 1.0.0 นั้นถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ 1999 (พ.ศ. 2542) และได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศเยอรมัน ในการทำคู่มือการใช้งาน ทำให้สามารถใช้ในไมโครซอฟท์วินโดวส์ในปี ค.ศ. 2000
เนื่องจาก GnuPG นั้นเป็นระบบที่ทำตามมาตรฐานของ OpenPGP ดังนั้นประวัติของ OpenPGP นั้นจึงสำคัญต่อ GnuPG โดย OpenPGP ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันกับ PGP ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการเข้ารหัสอีเมลล์ที่พัฒนาขึ้นโดย Phil Zimmerman
GnuPG เวอร์ชัน 2.0 ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ซึ่งพัฒนามาจากเวอร์ชัน 1.x โดยเวอร์ชันสุดท้ายของรุ่น 1.x คือ 1.4.8 นั้นยังคงมีการพัฒนาต่อควบคู่กันกับ GnuPG 2.0 เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในสถาปัตยกรรมของโปรแกรม ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานในบางประเภท
ผู้สร้าง
ผู้สร้าง Gnu.
ลิ้งที่มา
http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87+Gnu&aq=f&aqi=&aql=&oq=&gs_rfai=
ประวัติ Linux
ประวัติของ Linux
ลีนุกซ์ถือกำเนิดขึ้นในฟินแลนด์ ปี คศ. 1980 โดยลีนุส โทรวัลด์ส (Linus Trovalds)
นักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ในมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ
ลีนุส เห็นว่าระบบมินิกซ์ (Minix) ที่เป็นระบบยูนิกซ์บนพีซีในขณะนั้น ซึ่งทำการพัฒนา
โดย ศ.แอนดรูว์ ทาเนนบาวม์ (Andrew S. Tanenbaum) ยังมีความสามารถไม่เพียงพอ
แก่ความต้องการ จึงได้เริ่มต้นทำการพัฒนาระบบยูนิกซ์ของตนเองขึ้นมา โดยจุด
ประสงค์อีกประการ
คือต้องการทำความเข้าใจในวิชาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วย
เมื่อเขาเริ่มพัฒนาลีนุกซ์ไปช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ได้ทำการชักชวนให้นักพัฒนา
โปรแกรมอื่นๆมาช่วยทำการพัฒนาลีนุกซ์ ซึ่งความร่วมมือส่วนใหญ่ก็จะเป็นความ
ร่วมมือผ่านทางอินเทอร์เนต
ลีนุสจะเป็นคนรวบรวมโปรแกรมที่ผู้พัฒนาต่างๆได้ร่วมกันทำการพัฒนาขึ้นมาและ
แจกจ่ายให้ทดลองใช้เพื่อทดสอบหาข้อบกพร่อง ที่น่าสนใจก็คืองานต่างๆเหล่านี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็ทำงานโดยไม่คิดค่าตอบแทน และทำงานผ่านอินเทอร์เนตทั้งหมด
ปัจจุบันเวอร์ชันล่าสุดของระบบลีนุกซ์ที่ได้ประกาศออกมาคือเวอร์ชัน 2.0.13
ข้อสังเกตในเรื่องเลขรหัสเวอร์ชันนี้ก็คือ ถ้ารหัสเวอร์ชันหลังทศนิยมตัวแรก
เป็นเลขคู่เช่น 1.0.x,1.2.x เวอร์ชันเหล่านี้จะถือว่าเป็นเวอร์ชันที่เสถียรแล้วและ
มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเลขคี่เช่น 1.1.x, 1.3.x จะถือว่าเป็น
เวอร์ชันทดสอบ ซึ่งในเวอร์ชันเหล่านี้จะมีการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆลงไป
และยังต้องทำการทดสอบหาข้อผิดพลาดต่างๆอยู่
เหนือการบรรยายต้องมีคำว่าคลายเคลียด
คนสร้าง Linux
นัส ทอร์วัลด์ (Linus Torvalds) ผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Linux เตรียมลาออกจากบริษัททรานส์เมตะ (Transmeta Corp.) ซึ่งเป็นงานประจำในปัจจุบัน เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่ม “Open Source Development Lab” (OSDL) หวังกระตุ้นตลาดให้เกิดการยอมรับ Linux เร็วขึ้น
ในฐานะสมาชิกกลุ่ม OSDL (OSDL Fellow) ทอร์วัลด์จะรับหน้าที่เป็นผู้นำในการพัฒนา Linux ซึ่งเขาเป็นผู้สร้างขึ้นกับมือเมื่อปี 1991 ตอนครั้งสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ (University of Helsinki) และปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ตามรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters)
“ทอร์วัลด์จะเป็นทั้งกัปตัน, โคช และผู้จัดการของทีมพัฒนา Linux” ตามรายงานจากนิวยอร์กไทม์ส (NY Times) ซึ่งอ้างถึงคำกล่าวของ สจวร์ต โคเฮน (Stuart Cohen) ประธานคณะผู้บริหาร OSDL
บริษัทไอบีเอ็ม (International Business Machines Corp.; IBM) และบริษัทฮิวเลตต์แพคการ์ด หรือเอชพี (Hewlett-Packard Co.; HP) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับ 1 และ 2 ของโลก ได้ให้การสนับสนุน Linux มาหลายปีแล้ว ขณะที่บริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems Inc.) แม้นโยบายเกี่ยวกับ Linux จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ยังคงยืนยันให้การสนับสนุน
“รู้สึกใจหายนิดหน่อยที่ต้องจากงานที่ทำมาตลอด 12 ปีไป แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ผมสามารถทุ่มเวลาให้กับ Linux ได้อย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายที่เคอร์เนล 2.6.x (Kernel) ที่จะคลอดออกมาในเร็วๆนี้” ทอร์วัลด์กล่าวในแถลงการณ์
เคอร์เนล (Linux Kernel) คือ ชิ้นส่วนหรือคอมโพเนนต์หลักในระบบปฏิบัติการ Linux คือศูนย์กลางที่คอยประสานการทำงานระหว่างคอมโพเนนต์ต่างๆในระบบปฏิบัติการ หรือเป็นแกนกลางของระบบปฏิบัติการ Linux ดิสทริบิวชั่นใดๆ (Distribution; มีความหมายเท่ากับเวอร์ชั่น)
เมื่อปลายปีที่แล้ว ทอร์วัลด์ตั้งใจจะคลอดเคอร์เนล 2.6 ออกมาในเดือนมิถุนายน 2003 ขณะที่บริษัทไอบีเอ็มหวังว่าจะได้เห็นเคอร์เนล 2.6 ในผลิตภัณฑ์ของพวกเขาตอนครึ่งปีหลัง แต่เมื่อเร็วๆนี้ รายงานล่าสุดระบุว่า ไอบีเอ็มได้แจ้งให้ลูกค้าของพวกเขาทราบว่า เคอร์เนล 2.6 จะออกสู่ตลาดตอนต้นปี 2004 ตามรายงานจากสำนักข่าวซีเน็ต (Cnet)
Linux ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ไลเซนส์ “GNU General Public License” ซึ่งหมายความว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงและเผยแพร่ซอร์สโค้ด (โค้ดที่ใช้ในการพัฒนา) ของ Linux ได้โดยเสรี
OSDL คือศูนย์กลางการพัฒนา Linux ของโลก จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2000 และมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่พอร์ตแลนด์, โอรีกอน และโยโกฮามา ตามข้อมูลจาก OSDL
สำหรับผู้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนแก่กลุ่ม OSDL ได้แก่ บริษัทคอมพิวเตอร์แอสโซซิเอทส์อินเตอร์เนชั่นแนล หรือซีเอ (Computer Associates International Inc.; CA), บริษัทฟูจิตสึ (Fujitsu), บริษัทฮิตาชิ (Hitachi), บริษัทเอชพี (HP), บริษัทไอบีเอ็ม (IBM), บริษัทอินเทล (Intel Corp.), บริษัทเอ็นอีซี (NEC) และอื่นๆ
เป้าหมายหลักของกลุ่ม OSDL คือ การเตรียมความพร้อมให้ Linux สำหรับการใช้งานในภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทต่างๆหรือเครือข่ายสื่อสาร
“โคเฮนคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง OSDL กับทอร์วัลด์จะไปได้สวย ... การตัดสินใจของทอร์วัลด์ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในภารกิจและบทบาทของเรา” ตามรายงานจากคอมพิวเตอร์เวิลด์ (Computer World)
จอร์จ ไวซ์ (George Weiss) “ตลาดคอมพิวติ้งยังไม่มั่นใจว่า Linux จะไปได้ไกลและเร็วแค่ไหนในฐานะแพลตฟอร์มสำหรับองค์กรขนาดใหญ่”
ผลการศึกษาของบริษัทการ์ตเนอร์ดาต้าเควสต์ (Gartner Dataquest) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยตลาด ระบุว่า รายได้จากการจำหน่าย “Linux Server” ในปี 2002 โต 62% ขณะที่ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกร่วง 8% และคาดว่าจะเก็บมาร์เก็ตแชร์ได้ถึง 15% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์โลกปี 2007
อัล กิลเลน (Al Gillen) นักวิเคราะห์จากไอดีซี (IDC) กล่าวว่า การตัดสินใจของทอร์วัลด์เป็นผลดีกับทั้งกลุ่ม OSDL และ Linux “เป็นการสร้างเครดิตให้ OSDL ... ผมคิดว่าทอร์วัลด์คงต้องการทุ่มให้กับ Linux อย่างเต็มที่ และมุ่งที่ Linux เพียงอย่างเดียว”
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดสำหรับ Linux เพราะกำลังมาแรงและกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากภาคธุรกิจ และด้วยความดัง เลยทำให้ Linux ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีความทางกฎหมายจนได้
เมื่อเดือนมีนาคม 2003 บริษัทเอสซีโอกรุ๊ป (SCO Group) ฟ้องบริษัทไอบีเอ็มเรียกค่าเสียหายเป็นมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท) โดยกล่าวหาว่าไอบีเอ็มทำผิดสัญญา นำความลับใน Unix ไปใช้ใน Linux และข่าวล่าสุดว่า บริษัทเอสซีโอได้เรียกค่าเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.25 แสนล้านบาท) แล้ว ตามรายงานจากซีเน็ต
ทอร์วัลด์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของเอสซีโอว่า “มันชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของ Linux นั่นคือการขาดผู้จัดการโครงการที่มีความสามารถในการระบุตัวสินทรัพย์ทางปัญญาก่อนนำเข้ามาใช้ในการพัฒนาโอเพ่นซอร์ส”
“ผมค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องสินทรัพย์ทางปัญญา โดยส่วนตัวแล้วผมมีทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือการเจ้าของลิขสิทธิ์เคอร์เนล นั่นทำให้ผมยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ผมเชื่อว่าโดยส่วนตัวผมแล้ว ผมเห็นความสำคัญของลิขสิทธิ์มากกว่าเอสซีโอ และผมซีเรียส” ตามรายงานจากซีเน็ตซึ่งอ้างถึงเนื้อความบางส่วนในอีเมลจากทอร์วัลด์
ที่อยู่ลิ้งค์
http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20Linux&um=1&ie=UTF-8&sa=N&tab=iw
ลีนุกซ์ถือกำเนิดขึ้นในฟินแลนด์ ปี คศ. 1980 โดยลีนุส โทรวัลด์ส (Linus Trovalds)
นักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ในมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ
ลีนุส เห็นว่าระบบมินิกซ์ (Minix) ที่เป็นระบบยูนิกซ์บนพีซีในขณะนั้น ซึ่งทำการพัฒนา
โดย ศ.แอนดรูว์ ทาเนนบาวม์ (Andrew S. Tanenbaum) ยังมีความสามารถไม่เพียงพอ
แก่ความต้องการ จึงได้เริ่มต้นทำการพัฒนาระบบยูนิกซ์ของตนเองขึ้นมา โดยจุด
ประสงค์อีกประการ
คือต้องการทำความเข้าใจในวิชาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วย
เมื่อเขาเริ่มพัฒนาลีนุกซ์ไปช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ได้ทำการชักชวนให้นักพัฒนา
โปรแกรมอื่นๆมาช่วยทำการพัฒนาลีนุกซ์ ซึ่งความร่วมมือส่วนใหญ่ก็จะเป็นความ
ร่วมมือผ่านทางอินเทอร์เนต
ลีนุสจะเป็นคนรวบรวมโปรแกรมที่ผู้พัฒนาต่างๆได้ร่วมกันทำการพัฒนาขึ้นมาและ
แจกจ่ายให้ทดลองใช้เพื่อทดสอบหาข้อบกพร่อง ที่น่าสนใจก็คืองานต่างๆเหล่านี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็ทำงานโดยไม่คิดค่าตอบแทน และทำงานผ่านอินเทอร์เนตทั้งหมด
ปัจจุบันเวอร์ชันล่าสุดของระบบลีนุกซ์ที่ได้ประกาศออกมาคือเวอร์ชัน 2.0.13
ข้อสังเกตในเรื่องเลขรหัสเวอร์ชันนี้ก็คือ ถ้ารหัสเวอร์ชันหลังทศนิยมตัวแรก
เป็นเลขคู่เช่น 1.0.x,1.2.x เวอร์ชันเหล่านี้จะถือว่าเป็นเวอร์ชันที่เสถียรแล้วและ
มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเลขคี่เช่น 1.1.x, 1.3.x จะถือว่าเป็น
เวอร์ชันทดสอบ ซึ่งในเวอร์ชันเหล่านี้จะมีการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆลงไป
และยังต้องทำการทดสอบหาข้อผิดพลาดต่างๆอยู่
เหนือการบรรยายต้องมีคำว่าคลายเคลียด
คนสร้าง Linux
นัส ทอร์วัลด์ (Linus Torvalds) ผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Linux เตรียมลาออกจากบริษัททรานส์เมตะ (Transmeta Corp.) ซึ่งเป็นงานประจำในปัจจุบัน เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่ม “Open Source Development Lab” (OSDL) หวังกระตุ้นตลาดให้เกิดการยอมรับ Linux เร็วขึ้น
ในฐานะสมาชิกกลุ่ม OSDL (OSDL Fellow) ทอร์วัลด์จะรับหน้าที่เป็นผู้นำในการพัฒนา Linux ซึ่งเขาเป็นผู้สร้างขึ้นกับมือเมื่อปี 1991 ตอนครั้งสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ (University of Helsinki) และปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ตามรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters)
“ทอร์วัลด์จะเป็นทั้งกัปตัน, โคช และผู้จัดการของทีมพัฒนา Linux” ตามรายงานจากนิวยอร์กไทม์ส (NY Times) ซึ่งอ้างถึงคำกล่าวของ สจวร์ต โคเฮน (Stuart Cohen) ประธานคณะผู้บริหาร OSDL
บริษัทไอบีเอ็ม (International Business Machines Corp.; IBM) และบริษัทฮิวเลตต์แพคการ์ด หรือเอชพี (Hewlett-Packard Co.; HP) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับ 1 และ 2 ของโลก ได้ให้การสนับสนุน Linux มาหลายปีแล้ว ขณะที่บริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems Inc.) แม้นโยบายเกี่ยวกับ Linux จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ยังคงยืนยันให้การสนับสนุน
“รู้สึกใจหายนิดหน่อยที่ต้องจากงานที่ทำมาตลอด 12 ปีไป แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ผมสามารถทุ่มเวลาให้กับ Linux ได้อย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายที่เคอร์เนล 2.6.x (Kernel) ที่จะคลอดออกมาในเร็วๆนี้” ทอร์วัลด์กล่าวในแถลงการณ์
เคอร์เนล (Linux Kernel) คือ ชิ้นส่วนหรือคอมโพเนนต์หลักในระบบปฏิบัติการ Linux คือศูนย์กลางที่คอยประสานการทำงานระหว่างคอมโพเนนต์ต่างๆในระบบปฏิบัติการ หรือเป็นแกนกลางของระบบปฏิบัติการ Linux ดิสทริบิวชั่นใดๆ (Distribution; มีความหมายเท่ากับเวอร์ชั่น)
เมื่อปลายปีที่แล้ว ทอร์วัลด์ตั้งใจจะคลอดเคอร์เนล 2.6 ออกมาในเดือนมิถุนายน 2003 ขณะที่บริษัทไอบีเอ็มหวังว่าจะได้เห็นเคอร์เนล 2.6 ในผลิตภัณฑ์ของพวกเขาตอนครึ่งปีหลัง แต่เมื่อเร็วๆนี้ รายงานล่าสุดระบุว่า ไอบีเอ็มได้แจ้งให้ลูกค้าของพวกเขาทราบว่า เคอร์เนล 2.6 จะออกสู่ตลาดตอนต้นปี 2004 ตามรายงานจากสำนักข่าวซีเน็ต (Cnet)
Linux ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ไลเซนส์ “GNU General Public License” ซึ่งหมายความว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงและเผยแพร่ซอร์สโค้ด (โค้ดที่ใช้ในการพัฒนา) ของ Linux ได้โดยเสรี
OSDL คือศูนย์กลางการพัฒนา Linux ของโลก จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2000 และมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่พอร์ตแลนด์, โอรีกอน และโยโกฮามา ตามข้อมูลจาก OSDL
สำหรับผู้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนแก่กลุ่ม OSDL ได้แก่ บริษัทคอมพิวเตอร์แอสโซซิเอทส์อินเตอร์เนชั่นแนล หรือซีเอ (Computer Associates International Inc.; CA), บริษัทฟูจิตสึ (Fujitsu), บริษัทฮิตาชิ (Hitachi), บริษัทเอชพี (HP), บริษัทไอบีเอ็ม (IBM), บริษัทอินเทล (Intel Corp.), บริษัทเอ็นอีซี (NEC) และอื่นๆ
เป้าหมายหลักของกลุ่ม OSDL คือ การเตรียมความพร้อมให้ Linux สำหรับการใช้งานในภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทต่างๆหรือเครือข่ายสื่อสาร
“โคเฮนคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง OSDL กับทอร์วัลด์จะไปได้สวย ... การตัดสินใจของทอร์วัลด์ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในภารกิจและบทบาทของเรา” ตามรายงานจากคอมพิวเตอร์เวิลด์ (Computer World)
จอร์จ ไวซ์ (George Weiss) “ตลาดคอมพิวติ้งยังไม่มั่นใจว่า Linux จะไปได้ไกลและเร็วแค่ไหนในฐานะแพลตฟอร์มสำหรับองค์กรขนาดใหญ่”
ผลการศึกษาของบริษัทการ์ตเนอร์ดาต้าเควสต์ (Gartner Dataquest) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยตลาด ระบุว่า รายได้จากการจำหน่าย “Linux Server” ในปี 2002 โต 62% ขณะที่ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกร่วง 8% และคาดว่าจะเก็บมาร์เก็ตแชร์ได้ถึง 15% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์โลกปี 2007
อัล กิลเลน (Al Gillen) นักวิเคราะห์จากไอดีซี (IDC) กล่าวว่า การตัดสินใจของทอร์วัลด์เป็นผลดีกับทั้งกลุ่ม OSDL และ Linux “เป็นการสร้างเครดิตให้ OSDL ... ผมคิดว่าทอร์วัลด์คงต้องการทุ่มให้กับ Linux อย่างเต็มที่ และมุ่งที่ Linux เพียงอย่างเดียว”
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดสำหรับ Linux เพราะกำลังมาแรงและกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากภาคธุรกิจ และด้วยความดัง เลยทำให้ Linux ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีความทางกฎหมายจนได้
เมื่อเดือนมีนาคม 2003 บริษัทเอสซีโอกรุ๊ป (SCO Group) ฟ้องบริษัทไอบีเอ็มเรียกค่าเสียหายเป็นมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท) โดยกล่าวหาว่าไอบีเอ็มทำผิดสัญญา นำความลับใน Unix ไปใช้ใน Linux และข่าวล่าสุดว่า บริษัทเอสซีโอได้เรียกค่าเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.25 แสนล้านบาท) แล้ว ตามรายงานจากซีเน็ต
ทอร์วัลด์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของเอสซีโอว่า “มันชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของ Linux นั่นคือการขาดผู้จัดการโครงการที่มีความสามารถในการระบุตัวสินทรัพย์ทางปัญญาก่อนนำเข้ามาใช้ในการพัฒนาโอเพ่นซอร์ส”
“ผมค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องสินทรัพย์ทางปัญญา โดยส่วนตัวแล้วผมมีทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือการเจ้าของลิขสิทธิ์เคอร์เนล นั่นทำให้ผมยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ผมเชื่อว่าโดยส่วนตัวผมแล้ว ผมเห็นความสำคัญของลิขสิทธิ์มากกว่าเอสซีโอ และผมซีเรียส” ตามรายงานจากซีเน็ตซึ่งอ้างถึงเนื้อความบางส่วนในอีเมลจากทอร์วัลด์
ที่อยู่ลิ้งค์
http://www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20Linux&um=1&ie=UTF-8&sa=N&tab=iw
ประวัติของคอมพิวเตอร์
[ พ.ศ. 2158 ] นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณขึ้นมาเรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน
[ พ.ศ.2173 ] วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก
[ พ.ศ.2185 ] เบลส์ ปาสคาล ( Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลัการหมุนของฟันเฟือง และการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไปครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด
Pascal’s Calculato
[ พ.ศ.2214 ] กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และเขายังค้นพบเลขฐานสอง (Binary number)
กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz )
[ พ.ศ.2288 ] โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้า โดยใช้คำสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ
บัตรเจาะรู
[ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจ ได้เขียนวิธีการใช้เครื่องคำนวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมา เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
Differnce Engine
[ พ.ศ.2393 ] ยอร์จ บูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบ พีชคณิตระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะพื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิด จึงนับเป็นรากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer)
[ พ.ศ.2480-2481 ] ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
Atansoff
ABC computer
Berry
[ พ.ศ.2487 ] ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสำเร็จ แ ต่อย่างไรก็ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น
[ พ.ศ.2485-2495 ] มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศ และควบคุมการทำงานโดยวิธีเจาะชุดคำสั่งลงในบัตรเจาะรู
ENIAC
[ พ.ศ.2492 ] ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้
EDVAC
(first stored program computer)
[ พ.ศ.2496-2497 ] บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดยใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้าง ต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้น ต่อมาทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำไปแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงและเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620 )
หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube)
ทรานซีสเตอร์ (Transistor)
[ พ.ศ.2508 ] วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม ( Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนำไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ซึ่งผลก็คือทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง
IC
[ พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทำการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่ง ไอซีนี้เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor)
Microprocessor
[ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
[ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507
ก่อกำเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์
เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจำ(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก
บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทำการว่าจ้างให้ Intel ทำการผลิตชิปไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจำนวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่ โดยสร้างชิปที่ให้ถูกโปรแกรมได้ หมายถึงว่าสามารถนำเอาชุดคำสั่งของการคำนวณไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทำงานภายหลัง
ในปี 1971 Intel ได้นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จำนวน 2250 ตัว และเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิต
หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคำสั่ง 48 คำสั่ง และอ้างหน่วยความจำได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจำได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคำสั่งพื้นฐาน 74 คำสั่งและสามารถอ้างหน่วยความจำได้ 64 Kbyte
ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลก
เมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์ 8800 (Altair) ซึ่งทำออกมาเป็นชุดคิท โดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือ จะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนำไปประกอบขึ้นใช้เอง
บริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตลาดในด้านเครื่องคิดเลข แต่การค้าชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกล คิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขาย ได้ในจำนวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุด จึงให้ทิมงานออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมา ประกาศตัวในปีถัดไป สำหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคำว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิทคอมพิวเตอร์ชุดนี้
ชุดคิทของ อัลแตร์ นี้ประกอบด้วย ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพพลาย มีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพื่อแสดงผล รวมถึงหน่วยความจำ 256 Byte ( แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่มได้ แต่ก็ทำให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียว มีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจำนวนถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียว
ด้วยชิป 8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กำเนิดระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเอง
ถึงยุค Z80
เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน แม้แต่ซีพีเอ็ม ก็ยังถูกปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนำไปใช้ ในการเรียนการสอน ไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Sila เป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาท น่ะจะบอกให้)
Computer เครื่องแรกของ IBM
ในปี 1975 ไอบีเอ็ม ได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจำ 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สำหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ
ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนำเอาจุดเด่นของเครื่อง ที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจำหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอื่น ๆ จับตามอง
นี้คือลิ้งค์ของข้อมูลตัวจริงนะครับ
http://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/id/193/
[ พ.ศ.2173 ] วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก
[ พ.ศ.2185 ] เบลส์ ปาสคาล ( Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลัการหมุนของฟันเฟือง และการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไปครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด
Pascal’s Calculato
[ พ.ศ.2214 ] กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และเขายังค้นพบเลขฐานสอง (Binary number)
กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz )
[ พ.ศ.2288 ] โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้า โดยใช้คำสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ
บัตรเจาะรู
[ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจ ได้เขียนวิธีการใช้เครื่องคำนวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมา เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
Differnce Engine
[ พ.ศ.2393 ] ยอร์จ บูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบ พีชคณิตระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะพื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิด จึงนับเป็นรากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer)
[ พ.ศ.2480-2481 ] ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
Atansoff
ABC computer
Berry
[ พ.ศ.2487 ] ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสำเร็จ แ ต่อย่างไรก็ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น
[ พ.ศ.2485-2495 ] มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศ และควบคุมการทำงานโดยวิธีเจาะชุดคำสั่งลงในบัตรเจาะรู
ENIAC
[ พ.ศ.2492 ] ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้
EDVAC
(first stored program computer)
[ พ.ศ.2496-2497 ] บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดยใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้าง ต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้น ต่อมาทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำไปแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงและเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620 )
หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube)
ทรานซีสเตอร์ (Transistor)
[ พ.ศ.2508 ] วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม ( Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนำไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ซึ่งผลก็คือทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง
IC
[ พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทำการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่ง ไอซีนี้เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor)
Microprocessor
[ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
[ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507
ก่อกำเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์
เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจำ(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก
บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทำการว่าจ้างให้ Intel ทำการผลิตชิปไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจำนวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่ โดยสร้างชิปที่ให้ถูกโปรแกรมได้ หมายถึงว่าสามารถนำเอาชุดคำสั่งของการคำนวณไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทำงานภายหลัง
ในปี 1971 Intel ได้นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จำนวน 2250 ตัว และเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิต
หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคำสั่ง 48 คำสั่ง และอ้างหน่วยความจำได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจำได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคำสั่งพื้นฐาน 74 คำสั่งและสามารถอ้างหน่วยความจำได้ 64 Kbyte
ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลก
เมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์ 8800 (Altair) ซึ่งทำออกมาเป็นชุดคิท โดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือ จะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนำไปประกอบขึ้นใช้เอง
บริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตลาดในด้านเครื่องคิดเลข แต่การค้าชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกล คิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขาย ได้ในจำนวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุด จึงให้ทิมงานออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมา ประกาศตัวในปีถัดไป สำหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคำว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิทคอมพิวเตอร์ชุดนี้
ชุดคิทของ อัลแตร์ นี้ประกอบด้วย ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพพลาย มีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพื่อแสดงผล รวมถึงหน่วยความจำ 256 Byte ( แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่มได้ แต่ก็ทำให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียว มีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจำนวนถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียว
ด้วยชิป 8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กำเนิดระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเอง
ถึงยุค Z80
เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน แม้แต่ซีพีเอ็ม ก็ยังถูกปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนำไปใช้ ในการเรียนการสอน ไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Sila เป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาท น่ะจะบอกให้)
Computer เครื่องแรกของ IBM
ในปี 1975 ไอบีเอ็ม ได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจำ 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สำหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ
ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนำเอาจุดเด่นของเครื่อง ที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจำหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอื่น ๆ จับตามอง
นี้คือลิ้งค์ของข้อมูลตัวจริงนะครับ
http://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/id/193/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)